ไทย : เภสัชศาสตร์
อังกฤษ : Pharmacy
หลักสูตรปรับปรุงตาม พ.ศ : 2563 ระยะเวลาในการศึกษา : 6 ปี
ไทย : หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต
อังกฤษ : Doctor of Pharmacy Program
แบบเต็ม(ไทย) : เภสัชศาสตรบัณฑิต
แบบย่อ(ไทย) : ภ.บ.
แบบเต็ม(อังกฤษ) : Doctor of Pharmacy
แบบย่อ(อังกฤษ) : Pharm.D.
หลักสูตร 6 ปี หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต (ภ.บ.) เป็นหลักสูตรที่มุ่งผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ มีแผนการศึกษาจำนวน 2 แผน คือ แผน 1 เภสัชกรรมอุตสาหการ และ แผน 2 บริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อให้โอกาสแก่ผู้เรียนที่จะเลือกเรียนเพื่อเพิ่มทักษะประสบการณ์ และความชำนาญในการปฏิบัติงานด้านวิชาชีพให้มากขึ้นในทางใดทางหนึ่ง ดังนี้
1. แผน 1 เภสัชกรรมอุตสาหการ (Industrial Pharmacy) เป็นแผนการศึกษาที่มุ่งผลิตบัณฑิตให้มีองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการประกันคุณภาพและการควบคุมคุณภาพ ด้านการผลิต และ ด้านกฎระเบียบและการขึ้นทะเบียนตำรับยา
2. แผน 2 บริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical Care) เป็นแผนการศึกษาที่มุ่งผลิตบัณฑิตให้มีองค์ความรู้และทักษะในการให้คำแนะนำการใช้ยาและการสร้างเสริมสุขภาพ เน้นการฝึกฝนทักษะให้เกิดความเชี่ยวชาญ โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และปฏิบัติงานร่วมกับบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ เพื่อให้การบำบัดรักษาด้วยยาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีสุขภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
1) เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
2) เป็นผู้ยึดมั่นในการคิดดี พูดจาดี และกระทำดี ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ มุ่งมั่นในการใฝ่หาความรู้และพัฒนาตนเองอยู่เป็นนิจ เพื่อเป็นเภสัชกรดีและประชากรดีแก่สังคม
เป็นผู้สามารถทำสัญญากับราชการในการเป็นนักศึกษาเพื่อศึกษาวิชาเภสัชศาสตร์ได้ สาระสำคัญมีดังนี้
1. หลังจากสําเร็จการศึกษาแล้วจะต้องเข้ารับราชการ หรือ ทํางานหรือ เข้ารับการฝึกอบรมเพิ่มเติมตามคําสั่งของสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาของสาขาวิชาที่ตนศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปีติดต่อกัน ในกรณีที่ทางราชการไม่มีตำแหน่งเพียงพอที่จะรองรับก็อาจสั่งไม่บรรจุเป็นข้าราชการได้
2. หากไม่ยินยอมเข้ารับราชการ หรือทำงาน หรือเข้ารับการฝึกอบรมภายในเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนด ตามคำสั่งดังกล่าว จะต้องชดใช้ให้แก่มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนเงิน 250,000 บาท (สองแสนห้าหมื่นบาท)
3. หากสำเร็จการศึกษาแล้วไม่สามารถเข้ารับราชการหรือทำงานได้เพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ต้องยินยอมชดใช้เงินให้แก่มหาวิทยาลัยเป็นจำนวนเงินตามข้อ 2 ภายใน 15 วันนับแต่วันประพฤติผิดสัญญา
ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ และปราศจากโรค อาการของโรค หรือความพิการที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติการ และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ดังนี้
1. ปราศจากปัญหาทางจิตเวชรุนแรงอันอาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และ/หรือผู้อื่น เช่น โรคจิต (Psychotic Disorders) กลุ่มอาการออทิสซึม (Autistic Spectrum) โรคอารมณ์ผิดปกติ (Mood Disorders) โรคประสาทรุนแรง (Severe Neurosis Disorders) โรคบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders) โดยเฉพาะ Antisocial Personality Disorders หรือ Borderline Personality Disorders รวมถึงปัญหาทางจิตเวชอื่นๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาการปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
2. ปราศจากโรคติดต่อในระยะติดต่ออันตราย ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย หรือส่งผลให้เกิดความพิการอย่างถาวร อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
3. ปราศจากโรคไม่ติดต่อ หรือภาวะอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ต่อผู้ป่วย และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม เช่น
3.1 โรคลมชักที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ (โรคลมชักที่ไม่มีอาการชักมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี โดยมีการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นโรคลมชักที่ควบคุมได้)
3.2 โรคหัวใจระดับรุนแรง จนเป็นอุปสรรคต่อการเรียนและการประกอบวิชาชีพ โรคภาวะความดันเลือดรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนจนทำให้เกิดพยาธิสภาพต่ออวัยวะอย่างถาวร
3.3 ภาวะไตวายเรื้อรัง
3.4 โรคติดสารเสพติดให้โทษ
3.5 โรคหรือความพิการอื่นๆ ซึ่งมิได้ระบุไว้ข้างต้น แต่คณะกรรมการแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย เห็นว่าเป็น อุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงานและการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์อาจแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกรณีตรวจเพิ่มเติมได้
3.6 ใบ้หรือหูหนวกทั้งสองข้าง
3.7 ปราศจากโรคติดต่อ หรือภาวะที่อาจเกิดอันตรายต่อตนเอง ผู้อื่น และผู้ป่วยอันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา การปฏิบัติงาน และการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม
ไม่จำกัดสิทธิ์ผู้สอบผ่านการคัดเลือกที่มีตาพร่องสี และสถาบันจะกำหนดให้มีการตรวจตาพร่องสีตามวิธีการทดสอบที่สถาบันกำหนดเพิ่มเติม เพื่อให้คำปรึกษาในการเรียนและการประกอบวิชาชีพต่อไป
4. กรณีผู้เข้าศึกษาเป็นโรค หรือปรากฏอาการของโรค หรือความพิการที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาการปฏิบัติการและการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมดังกล่าวข้างต้นในระหว่างการศึกษา ผู้เข้าศึกษาต้องลาพักการเรียนเพื่อรักษาจนกว่าจะหายเป็นปกติ หรือสามารถควบคุมอาการของโรคตามคำรับรองของแพทย์จึงจะสามารถกลับเข้าเรียนต่อได้
หมายเหตุ
1. ผู้เข้าศึกษาให้ข้อมูลเท็จ หรือจงใจปกปิดข้อมูล หรือแม้แต่ปรากฏเป็นความเท็จขึ้นภายหลัง จะต้องถูกตัดสิทธิ์การศึกษา
2. การพิจารณาตัดสิทธิ์ผู้เข้าศึกษาด้วยเหตุผลคุณสมบัติด้านสุขภาพ ให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารประจำคณะเภสัชศาสตร์ และให้ถือเป็นที่สิ้นสุด
3. ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิเข้าสอบสัมภาษณ์จะต้องตรวจสุขภาพ โดยหน่วยสร้างเสริมสุขภาพโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยต้องนำผลการตรวจร่างกายมาแสดงในวันสอบสัมภาษณ์ ดังต่อไปนี้
(1) การตรวจร่างกาย
(2) การตรวจทางรังสีของทรวงอก (CXR)
(3) การตรวจตาบอดสี
(4) การทดสอบทางจิตวิทยา (MMPI)
นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต ทั้ง 2 แผนการศึกษา จะได้รับปริญญาเภสัชศาสตรบัณฑิต และนักศึกษาต้องสอบความรู้ผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมของสภาเภสัชกรรม เพื่อได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทั้งนี้ ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถประกอบวิชาชีพทางเภสัชกรรม ดังนี้
1. เภสัชกรด้านเภสัชกรรมอุตสาหการ (ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)
1) เภสัชกรฝ่ายผลิต
2) เภสัชกรฝ่ายควบคุมคุณภาพ
3) เภสัชกรฝ่ายประกันคุณภาพ
4) เภสัชกรฝ่ายวิจัยและพัฒนา
5) เภสัชกรฝ่ายทะเบียน
6) เภสัชกรตรวจประเมินคุณภาพ
2. เภสัชกรด้านบริบาลทางเภสัชกรรม
1) เภสัชกรโรงพยาบาล
2) เภสัชกรร้านยา
3) เภสัชกรประจำสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ
3. เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข
4. เภสัชกรการศึกษา
5. ผู้ประสานงานการวิจัยทางคลินิก
6. เภสัชกรการตลาด
7. อื่นๆ เช่น เภสัชกรงานด้านอาหารและยา เภสัชกรในสังกัดเทศบาล
เบอร์โทรศัพท์ : 0-5394-4323
เบอร์ Fax : 0-5394-4323